住み慣れたまちで自分らしくいつまでも
地域を離れない生き方〜タイもAging in Placeへ
年末年始という特別な時期、日本では家族が一堂に会し、温かい時間を共に過ごす文化があります。一方、タイでもクリスマスや新年はイベントとして盛り上がりますが、その背景には異なる文化的特徴が存在します。今回のウェル・エイジング・ライブでは「Aging in Place(エイジング・イン・プレイス)」、すなわち”住み慣れた地域で歳を重ねる”というテーマを軸に、日本とタイの現状と未来についてディスカッションが行われました。
日本の年末年始と「帰省文化」
日本では、年末年始やお盆になると多くの人々が故郷に帰省します。都会から地方へと人が移動し、家族や親戚と共に新年を迎える文化は、日本独自の温かみのある風習です。しかし、現代では老人ホームが“第二の我が家”として機能するケースも増えています。かつては老人ホームから自宅に帰るという流れが一般的でしたが、今では家族が老人ホームに集まり、親と共に新年を祝うスタイルが定着しつつあります。
この変化は、単なる生活様式の変化ではなく、介護施設が地域社会の中で重要な役割を果たしていることを示しています。
タイの年末年始文化
一方、タイではクリスマスはイベントとして盛り上がるものの、企業や学校は休暇にはなりません。しかし、新年やタイ旧正月(ソンクラーン)には、多くの人々が地方に帰省し、家族と共に時間を過ごします。この点では日本と似た文化的背景が見られます。
しかし、タイの高齢者支援や介護制度はまだ発展途上にあります。現時点では、都市部に住む高齢者は経済的な事情や施設の不足により、適切な介護を受けることが難しい状況も少なくありません。
Aging in Place 〜地域を離れない生き方〜
「Aging in Place(エイジング・イン・プレイス)」は、住み慣れた地域で自分らしく老後を過ごすというコンセプトです。日本では、25年もの年月をかけて介護保険制度や地域包括ケアシステムが構築されてきました。このシステムは、在宅介護、訪問介護、デイサービス、高齢者住宅、そして老人ホームが一体となり、地域全体で高齢者を支える仕組みを提供しています。
一方、タイではまだこのような包括的なシステムは存在していません。現状では「都市部に豪華な高齢者施設が存在する一方で、地方では基本的なサービスさえ受けられない」といった二極化が進んでいます。
タイにおける課題と可能性
タイでは今後、どのように高齢者介護制度を構築していくかが大きな課題となっています。日本のような公的介護保険制度(教授)を導入するのか、北欧諸国のように税金で支える(控除)仕組みにするのか、それともアメリカのように個人の自己負担(自助)を重視するのか。
また、タイには「ボランタリー経済」というユニークな社会的背景があります。例えば、事故現場でボランティア団体が支援活動を行ったり、地域の寺院に多額の寄付が集まる文化があります。これを介護分野に適用することで、迅速かつ柔軟な支援体制を構築できる可能性もあります。
街全体を「老人ホーム」に
日本では、街そのものが「老人ホーム」のような機能を持つことが理想とされています。介護施設だけでなく、在宅介護サービスや地域資源を最大限に活用し、小学生が通える範囲に高齢者施設やデイサービスが配置されることで、高齢者が孤立することなく、地域全体で支え合える社会が形成されます。
タイにおいても、このような街づくりのビジョンは実現可能です。都市計画と福祉政策を統合し、地域全体が高齢者にとって安心・安全な環境となることで、Aging in Placeが現実のものとなるでしょう。
次世代へのバトン
現在、日本で介護の現場を学ぶタイ人スタッフが増えています。彼らは単に技術を学ぶだけでなく、介護に対する「心」や「文化」を吸収しています。将来的には、彼らがタイに戻り、リーダーや教育者として地域の介護制度を支える存在になることが期待されています。
「Aging in Place」は単なる制度や施設の話ではなく、社会全体で支え合い、温かい環境を築くための哲学です。地域を離れず、自分らしく歳を重ねることができる社会。そのビジョンを共有し、共に未来を築いていくことが求められています。
これからのタイにおける介護の進化とAging in Placeの実現に向けて、私たち一人ひとりができることを考え、行動していきたいものです。

AIタイ語翻訳
การใช้ชีวิตโดยไม่ต้องออกจากชุมชน – ประเทศไทยก้าวสู่ Aging in Place
ช่วงปีใหม่เป็นช่วงเวลาพิเศษ ในญี่ปุ่น ผู้คนจะกลับบ้านเกิดเพื่อใช้เวลากับครอบครัวอย่างอบอุ่น ในขณะที่ประเทศไทยเองก็มีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ในการถ่ายทอดสด Well Aging Live ครั้งนี้ เราได้พูดคุยเกี่ยวกับแนวคิด “Aging in Place” ซึ่งหมายถึง “การใช้ชีวิตในชุมชนที่คุ้นเคยในช่วงวัยชรา” โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ระหว่างญี่ปุ่นและไทย รวมถึงการมองไปยังอนาคต
วัฒนธรรมปีใหม่และการกลับบ้านในญี่ปุ่น
ในญี่ปุ่น ช่วงปีใหม่และเทศกาลโอบ้งจะมีการเดินทางกลับภูมิลำเนา ผู้คนจากเมืองใหญ่จะกลับไปหาครอบครัวและคนที่รัก วัฒนธรรมนี้เป็นการแสดงถึงความสำคัญของสายใยครอบครัวและการใช้เวลาร่วมกัน ปัจจุบัน บ้านพักคนชราได้กลายเป็น “บ้านหลังที่สอง” สำหรับผู้สูงอายุ หลายครอบครัวจึงเดินทางไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชราแทนที่จะพาพวกเขากลับบ้าน
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่าบ้านพักคนชราไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์ในครอบครัวและสังคม
วัฒนธรรมปีใหม่ในประเทศไทย
ในประเทศไทย คริสต์มาสเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในเมืองใหญ่ แต่ไม่ได้เป็นวันหยุดราชการ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีใหม่และสงกรานต์ ผู้คนจำนวนมากจะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพบปะครอบครัวและใช้เวลาร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ระบบการดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทยยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้น มีความแตกต่างระหว่างผู้ที่สามารถเข้าถึงบริการที่ดีในเมืองใหญ่กับผู้ที่ขาดแคลนทรัพยากรในพื้นที่ชนบท
Aging in Place – การใช้ชีวิตในชุมชนที่คุ้นเคย
“Aging in Place” หมายถึงการใช้ชีวิตในชุมชนที่คุ้นเคยอย่างมีศักดิ์ศรีและเป็นอิสระ ระบบนี้ในญี่ปุ่นใช้เวลากว่า 25 ปีในการพัฒนา โดยมีการสร้างระบบดูแลผู้สูงอายุแบบบูรณาการ ที่รวมถึงการดูแลที่บ้าน การเยี่ยมเยียนผู้ป่วยสูงอายุ บริการเดย์แคร์ และที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ
ในประเทศไทย ระบบดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ขณะนี้ยังคงมีความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ที่สามารถจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงบริการที่ดีในเมืองใหญ่ และผู้ที่ต้องพึ่งพาบริการที่จำกัดในชนบท
ความท้าทายและโอกาสในประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับคำถามสำคัญ: เราจะสร้างระบบดูแลผู้สูงอายุอย่างไร? จะใช้แนวทางการจัดการแบบญี่ปุ่น (การประกันสังคม) แนวทางสแกนดิเนเวีย (ใช้ภาษีเป็นแหล่งเงินทุน) หรือแนวทางสหรัฐอเมริกา (การดูแลส่วนบุคคลและภาคเอกชน)
ประเทศไทยยังมีวัฒนธรรม “เศรษฐกิจจิตอาสา” ที่โดดเด่น เช่น กลุ่มอาสาสมัครที่ช่วยเหลือเหตุฉุกเฉิน หรือการบริจาคเงินจำนวนมากให้วัดในท้องถิ่น แนวคิดนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบการดูแลผู้สูงอายุได้
เมืองทั้งเมืองคือ “บ้านพักคนชรา”
ในญี่ปุ่น มีแนวคิดที่ว่า “เมืองทั้งเมืองคือบ้านพักคนชรา” ซึ่งหมายถึงการวางแผนเมืองให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ โดยการกระจายบริการดูแลผู้สูงอายุในทุกพื้นที่ เช่น การดูแลที่บ้าน การดูแลระยะสั้น และที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ
ประเทศไทยสามารถนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ได้ หากการวางแผนเมืองและนโยบายสังคมถูกบูรณาการอย่างเหมาะสม เมืองทั้งเมืองจะกลายเป็นสถานที่ที่ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและปลอดภัย
การส่งต่อสู่คนรุ่นต่อไป
ในปัจจุบัน มีคนไทยจำนวนมากที่มาทำงานและเรียนรู้ระบบการดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่น พวกเขาไม่ได้เพียงเรียนรู้เทคนิค แต่ยังเรียนรู้วัฒนธรรมและแนวคิดในการดูแลผู้สูงอายุอีกด้วย ในอนาคต คนเหล่านี้จะกลับไปเป็นผู้นำและผู้ให้ความรู้ในประเทศไทย
“Aging in Place” ไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบหรือสถานที่ แต่เป็นปรัชญาที่สังคมต้องร่วมมือกันสร้างขึ้น เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตในชุมชนที่คุ้นเคยได้อย่างมีคุณภาพและศักดิ์ศรี
อนาคตของระบบการดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทยอยู่ในมือของพวกเราทุกคน การเริ่มต้นจากการพูดคุย การวางแผน และการลงมือทำ จะช่วยสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกช่วงวัยได้อย่างแท้จริง












コメント